การทำงานในฐานะผู้จัดการ ของ โชเซ มูรีนโย

ไบฟีกา

โอกาสที่จะกลายเป็นผู้จัดการชั้นนำของมูรีนโยมาถึงในเดึนกันยายน ค.ศ. 2000 เมื่อเขาได้รับข้อเสนอจากทีมยักษ์ใหญ่ในประเทศบ้านเกิดอย่างไบฟีกาเพื่อไปแทนที่ยุพพ์ ไฮน์เคส ซึ่งในขณะนั้นการแข่งขันปรีไมราลีกาผ่านไปแล้ว 4 นัด[20] มูรีนโยเล่าถึงเหตุการณ์ตอนนั้นว่า


"เมื่อผมได้พูดคุยกับฟัน คาล เกี่ยวกับการที่จะกลับไปโปรตุเกสในฐานะผู้ช่วยผู้จัดการให้กับไบฟีกา เขาพุดว่า "อย่าไปเลย บอกไบฟิกาว่า ถ้าเขาต้องการผู้ฝึกทีมใหญ่คุณจะไป แต่ถ้าเขาต้องการแค่ผู้ช่วยคุณจะอยู่ที่เดิม""[22]


อย่างไรก็ดี มูรีนโยออกจากบาร์เซโลนาเมื่อ ฟัน คาล ถูกปลดจากการเป็นผู้จัดการเนื่องจากผลงานไม่ดีในฤดูกาลที่สามกับบาร์เซโลนา และประธานสโมสร โคเซ ลูอิส นูเญซ ซึ่งรับผิดชอบในการดึงตัว ฟัน คาล และ ร็อบสัน มาเป็นผู้จัดการให้กับบาร์เซโลนาลาออกเนื่องจากเหนื่อยกับการถูกกดดัน[23]

หลังจากถึงไบฟีกา มูรีนโยก็ต้องพบกับปัญหาเนื่องจากผู้บริหารต้องการแต่งตั้ง Jesualdo Ferreira เป็นผู้ช่วยผู้ฝึก แต่มูรีนโยปฏิเสธและหยิบ การ์ลุส โมเซร์ อดีตกองหลังทีมชาติบราซิลชุดลุยศึกฟุตบอลโลก 1990 ซึ่งเคยมาค้าแข้งกับไบฟีกาถึง 2 ครั้งก่อนไปแขวนสตั๊ดที่ญี่ปุ่นมาเป็นผู้ช่วย[24] มูรีนโยวิภาควิจารณ์ Jesualdo Ferreira อย่างหนักหน่วงแม้ว่าทั้งสองจะเคยพบกันมาก่อนในฐานะครูกับศิษย์ที่สถาบันการพลศึกษาขั้นสูง (Instituto Superior de Educação Física) เขาต่อว่าผู้ฝึกมากประสพการณ์คนนี้ว่า "นี่อาจจะเป็นเรื่องราวของลาที่ทำงานเป็นเวลา 30 ปี แต่ไม่เคยกลายเป็นม้า"[25] เพียงไม่กี่สัปดาห์หลังจากได้รับงานที่ไบฟีกา อาจารย์และที่ปรึกษาของมูรินโย เซอร์บ๊อบบี้ ร็อบสันก็เสนอให้เขากลับไปเป็นผู้ช่วยผู้จัดการที่นิวคาสเซิล ร็อบสันต้องการความช่วยเหลือของมูรีนโยอย่างหนักถึงขนาดให้สัญญาว่าจะลงจากการเป็นผู้จัดการและยกตำแหน่งแก่มูรีนโยภายในสองปี มูรีนโยปฏิเสธคำเชื้อเชิญโดยบอกว่าเขารู้ว่าร็อบสันไม่มีทางไม่ก้าวลงจากที่สโมสรที่เขารัก[26]

มูรีนโย และ โมเซร์กลายเป็นคู่ที่ได้รับความสนใจอย่างมาก โดยสามารถถล่มคู่ปรับร่วมเมือง สปอร์ติงลิสบอน ไปถึง 3-0 ในเดึนธันวาคม[27][28] แต่การทำงานของทั้งคู่ก็ต้องพบกับอุปสรรคหลังประธานสโมสรของไบฟิกา João Vale e Azevedo แพ้การเลือกตั้งภายใน และ Manuel Vilarinho ซึ่งมาแทนประธานสโมสรเดิมบอกว่าเขาจะมอบตำแหน่งหัวหน้าผู้ฝึกให้กับอดีตผู้เล่นซึ่งเป็นตำนานของไบฟิกา อังตอนีอู ชูเซ กงไซเซา โอลีไวรา หรือ โตนี[20] Vilarinho ไม่ได้มีความตั้งใจในการให้มูรีนโยออกจากงานทันที มูรีนโยจึงใช้ชัยชนะเหนือสปอร์ติงลิสบอนของทีมเพื่อทดสอบความภักดีของประธานสโมสรใหม่โดยขอขยายสัญญาการจ้างงานเพิ่มขึ้น[27] Vilarinho ปฏิเสธคำขอ มูรีนโยจึงลาออกจากตำแหน่งทันทีเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม ค.ศ. 2000 หลังทำงานในลีกไปเพียง 9 นัด เมื่อหวนกลับไปคิดถึงการตัดสินใจครั้งนั้น Vilarinho รู้สึกเสียใจกับการตัดสินใจที่ผิดพลาดของเขา และกล่าวเกี่ยวกับการสุญเสียมูรีนโยว่า


"หากย้อนเวลากลับไปได้ ผมจะทำตรงกันข้าม ผมจะยอมขยายสัญญาให้เขา ผมพึ่งมาเข้าใจภายหลังว่าชื่อเสียงและความภาคภูมิใจไม่ควรอยู่เหนือผลประโยชน์ของสถาบันที่เรารับใช้[27]

อูนีเยาดึไลรีอา

มูรีนโยรับตำแหน่งผู้จัดการจากทีมระดับกลางตารางอย่าง อูนีเยาดึไลรีอา ในเดึนกรกฎาคม ค.ศ. 2001[29] ในช่วงเวลาที่เป็นผู้จัดการให้ไลรีอา มูรีนโยสามารถนำทีมไปถึงอันดับสาม และ สี่ ของลีกในเดึนมกราคม โดยหลังจากเอาชนะ Paços de Ferreira ไป 2-1 ในวันที่ 27 มกราคม ไลรีอาขึ้นไปอยู่อันดับสามของตารางด้วยคะแนนนำไบฟีกา และ โปร์ตู หนึ่งแต้ม และตามหลังหลังผู้นำลีกเพียง 3 แต้ม แน่นอนความสำเร็จของมูรีนโย ทำให้เขาได้รับความสนใจจากสโมสรขนาดใหญ่ของโปรตุเกสหลายแห่ง[20]

ไลรีอาสามารถปิดฤดูกาลในอันดับที่ 5 ของตารางซึ่งเป็นอันดับดีที่สุดที่ทีมเคยทำได้ โดยสามารถทำอันดับได้สูงกว่าไบฟีกาที่เพิ่งปลดมูรีนโยจากการเป็นผู้จัดการทีมอีกด้วย

โปร์ตู

ในช่วงปลายเดึนมกราคมปี ค.ศ. 2002 มูรีนโยก็ได้ย้ายที่ทำงานอีกครั้งหลังผลงานการคุมทีมเข้าตาโปร์ตู ยักษ์ใหญ่อีกรายของโปรตุเกส ที่พึ่งปลด ออกตาวีอู มาชาดู ออกจากสโมสร ในขณะนั้นโปร์ตูเป็นทีมอันดับ 5 ของตารางปรีไมราลีกา (ตามหลังสปอร์ติงลิสบอน บัววีชตา ไลรีอา และ ไบฟีกา) ตกรอบโปรตุเกสลีกคัพ และครองตำแหน่งบ๊วยในการแข่งขันยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกรอบแบ่งกลุ่มที่สอง หลังจากคุมทีมแข่งขันได้ 15 นัด (ด้วยสถิติชนะ 11 เสมอ 2 และแพ้ 2 นัด) มูรีนโยสามารถนำทีมไปถึงอันดับสามของตารางตอนสิ้นฤดูกาล หลังจากนั้นเขาให้สัญญาว่า "จะทำให้โปร์ตูเป็นแชมป์ (ปรีไมราลีกา) ในปีถัดไป"

มูรีนโยได้ระบุผู้เล่นหลักหลายคนที่เขาเห็นว่าจะเป็นกำลังสำคัญซึ่งทำให้โปร์ตูเป็นทีมที่สมบูรณ์แบบเช่น วีตอร์ บาอีอา, รีการ์ดู การ์วัลยู, กอชตินยา, เดโก, ดมีตรี อาเลนีเชฟ, แอลดืร์ ปุชตีกา และเรียกฌอร์ฌือ กอชตา กองหลังกัปตันทีม (ที่มีปัญหาขัดแย้งกับมาชาดู) ซึ่งชาร์ลตันแอทเลติกได้เช่ายืมไปในสัญญา 6 เดึนให้กลับมา การเซ็นสัญญานักเตะหน้าใหม่รวมถึง นูนู วาเลงตี และ เดร์เลย์ จากไลรีอา, เปาลู ฟีร์ไรรา จากวีตอเรียดึซึตูบัล, เปดรู เอมานูเอล จากบัววีชตา และ เอดการัส ยันเคาส์คัส กับ มานีชี ซึ่งทั้งคู่พึ่งหมดสัญญาจากไบฟีกา

ฤดูกาล 2002–03

ในช่วงก่อนการเปิดฤดูการแข่งขัน มูรีนโยได้นำรายงานเกี่ยวกับรายละเอียดของโปรแกรมการฝึกขึ้นบนเว็บไซต์ของสโมสร รายงานฉบับนี้เต็มไปด้วยคำศัพท์ทางการอย่างเช่น แทนที่จะเขียนว่า วิ่งเหยาะๆ 20 กม. เขาจะบรรยายด้วยว่าเป็นการออกกำลังกายแบบแอโรบิคฉบับพิเศษ รายงานนี้ได้รับคำติเตียนว่าเป็นการเสแสร้ง แต่ขณะที่เดียวกันก็ได้รับคำชื่นชมว่าเป็นการใช้นวัตกรรมและการประยุกต์ใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ในการฝึกมากขึ้น หนึ่งในกลยุทธ์สำคัญของมูรีนโยในยุคโปร์ตูคือ ความมีไหวพริบดี และ เล่นกดดันซึ่งเริ่มตั้งแต่ในแดนคู่ต่อสู้ เรียกว่า การเล่นกดดันอย่างหนัก "pressão alta" ("high pressure") ความสามารถของร่างกายและการต่อสู้ของกองกลางและกองหลังทำให้โปร์ตูสามารถกดดันฝ่ายตรงข้ามตั้งแต่ในแดนของตัวเอง และเป็นเหตุให้ฝ่ายตรงข้ามเสียบอลหรือต้องลองส่งบอลไกลที่มีความไม่แน่นอนสูงบ่อยขึ้น

ในปีค.ศ. 2003 เขาพาทีมครองแชมป์ปรีไมราลีกาด้วยสถิติ ชนะ 27 นัด เสมอ 5 นัด และแพ้ 2 นัด ทำคะแนนทิ้งห่างไบฟีกาทีมอันดับ 2 ของตารางที่เขาจากมาเมื่อสองปีก่อนถึง 11 แต้ม โดยทำคะแนนรวมได้ 86 จากคะแนนเต็ม 102 และยังถือเป็นสถิติใหม่ของลีกนับตั้งแต่เปลี่ยนการให้คะแนนทีมชนะเป็น 3 คะแนน (เฉือนของเก่าที่โปร์ตูเคยทำไว้ไปคะแนนเดียว แต่ถูกล้มโดยไบฟิกาในฤดูกาล 2015-16 ด้วยคะแนน 88 คะแนน) นอกจากนั้นในเดึนพฤษภามคมของปีนั้นเขายังพาทีมครองแชมป์โปรตุเกสคัพ โดยเอาชนะทีมเก่าไลรีอาในนัดชิงไป 1-0 และแชมป์ยูฟ่าคัพโดยยัดเยียดความปราชัยให้เซลติกในนัดชิง

ฤดูกาล 2003–04

ฤดูกาลถัดมาโปร์ตูยังคงเล่นได้ดีจากการนำของมูรีนโย โดยสามารถเอาชนะไลลีอาในนัดชิงโปรตุเกสซุปเปอร์คัพด้วยคะแนน 1-0 แต่พ่ายแพ้ต่อเอซี มิลานในนัดชิงยูฟ่าซูเปอร์คัพด้วยคะแนน 1-0 จากการยิงประตูของอันดรีย์ เชฟเชนโค ในลีกปรีไมราลีกาโปร์ตูยังคงเป็นทีมที่แข็งแกร่งโดยสามารถจบฤดูกาลด้วยการไม่แพ้ใครในบ้านตัวเองเลย มีคะแนนนำทีมที่สองของตาราง 8 คะแนน และได้ตำแหน่งแชมป์ 5 สัปดาห์ก่อนปิดฤดูกาล โปร์ตูพ่ายแพ้ต่อไบฟีกาในรอบชิงโปรตุเกสคัพ แต่เพียงสองสัปดาห์ถัดมาก็ได้ถ้วยรางวัลที่ใหญ่กว่ามาครองด้วยการเอาชนะโมนาโก ด้วยสกอร์ 3-0 ในการแข่งขันรอบสุดท้ายของยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ที่อาเรนาเอาฟ์ชัลเคอ ในเมืองเกลเซนเคียร์เชิน ประเทศเยอรมนี โดยก่อนที่จะมาถึงจุดนี้โปร์ตูสามารถเอาชนะแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด โอลิมปิกลียง ลาโกรุญญา และพ่ายแพ้เพียงนัดเดียวให้กับเรอัลมาดริดในรอบแบ่งกลุ่ม

ในนัดแรกของการแข่งขันระหว่างแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดกับโปร์ตู เกิดการปะทะคารมระหว่างมูรีนโย และ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ผู้จัดการของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด หลังจากที่รอย คีน ได้รับใบแดงเนื่องจากไปเหยียบตัวของวีตอร์ บาอีอา[30] ในนัดที่สองขณะที่โปร์ตูกำลังจะพ่ายแพ้ด้วยกฏการยิงประตูทีมเยือน กอชตินยาก็ทำประตูตีเสมอได้โดยเหลือเวลาในการแข่งขันเพียง 30 วินาทีเป็นผลให้โปร์ตูมีคะแนนรวมสองนัดมากกว่าแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด มูรีนโยถึงกับเฉลิมฉลองการทำประตูอย่างยิ่งใหญ่ ชัยชนะในครั้งนี้ของมูรีนโยที่มีต่อทีมของเฟอร์กูสันเป็นการบอกเป็นนัยถึงการย้ายไปพรีเมียร์ลีกของมูรีนโย และการแข่งขันกันระหว่างชายทั้งสองคนที่กำลังจะเกิดขึ้น

มูรีนโยกล่าวถึงการย้ายไปทำงานให้กับสโมสรในพรีเมียร์ลีกว่า "ลิเวอร์พูลเป็นทีมที่ดึงดูดความสนใจของทุกคนและเชลซีไม่ได้ดึงดูดความสนใจของผมมาก เพราะว่ามันเป็นโปรเจกต์ใหม่ที่ใช้เงินลงทุนสูง ผมคิดว่ามันเป็นโปรเจกต์ที่ถ้าสโมสรไม่สามารถจะชนะทุกอย่าง [โรมัน] อับราโมวิช น่าจะเลิกและเอาเงินออกจากสโมสร มันเป็นโปรเจกต์ที่ไม่แน่นอน เป็นเรื่องที่น่าสนใจสำหรับโค้ชในการที่จะมีเงินจ้างผู้เล่นคุณภาพดี แต่คุณไม่รู้หรอกว่าโครงการแบบนี้จะไปถึงจุดสำเร็จหรือไม่"[31]

ตำแหน่งผู้จัดการของลิเวอร์พูลตกเป็นของ ราฟาเอล เบนีเตซ ในขณะที่มูรีนโยยอมรับข้อเสนอชิ้นโตจาก โรมัน อับราโมวิช และสัญญาที่จะให้อนาคตของเขากับเชลซี[31]

เชลซี

มูรีนโยเริ่มงานอย่างเป็นทางการให้กับเชลซี เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน ค.ศ. 2004 ด้วยสัญญาระยะเวลาสามปีภายหลังจากที่โปร์ตูได้รับค่าตอบแทนมูลค่า 1.7 ล้านปอนด์[32] ในช่วงการแถลงข่าวหลังจากได้เริ่มงานกับสโมสรของประเทศอังกฤษแห่งนี้ มูรีนโยกล่าวว่า "กรุณาอย่าว่าผมอวดดี แต่ผมเป็นแชมป์ยุโรปและผมคิดว่าผมเป็นบุคคลพิเศษ" (Please don't call me arrogant, but I'm European champion and I think I'm a special one) จึงทำให้สื่อตั้งฉายาให้กับเขาว่า "บุคคลพิเศษ" (The Special One)[33]

มูรีนโยนำทีมงานเก่าจากโปร์ตูมาร่วมงานประกอบด้วย ผู้ช่วยผู้จัดการ Baltemar Brito ผู้ฝึกฟิตเนส Rui Faria หัวหน้าแมวมอง André Villas-Boas ผู้ฝึกผู้รักษาประตู Silvino Louro และเก็บอดีตนักเตะของเชลซี สตีฟ คลาร์ก ซึ่งคอยทำหน้าที่ผู้ช่วยผู้จัดการให้กับผู้จัดการคนก่อน ในแง่ของการใช้จ่ายมูรีนโยใช้เงินทุนของ โรมัน อับราโมวิช ต่อจากเกลาดีโอ รานีเอรี ผู้จัดการคนก่อน โดยใช้เงินกว่า 70 ล้านปอนด์ในการโอนย้ายผู้เล่น อาทิเช่น Tiago (10 ล้านปอนด์) จากไบฟีกา, มิคาเอล เอสเซียง (24 ล้านปอนด์) จากโอลิมปิกลียง, ดีดีเย ดรอกบา (24 ล้านปอนด์) จากมาร์แซย์, Mateja Kežman (5.4 ล้านปอนด์) จากเปเอสเฟ (พีเอสวี) และ สองนักเตะจากโปร์ตู รีการ์ดู การ์วัลยู (19.8 ล้านปอนด์) และ เปาลู ฟือไรรา (13.3 ล้านปอนด์)

ฤดูกาล 2004–05

ภายใต้การจัดการของมูรีนโยเชลซีได้รับการพัฒนาบนรากฐานเดิมที่ได้ถูกสร้างไว้ในฤดูกาลก่อน โดยเพียงแค่ต้นเดึนธันวาคมเชลซีก็ไปถึงจุดสูงสุดของตารางพรีเมียร์ลีก และเข้าสู่รอบแพ้คัดออกในการแข่งขันยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก

เขาคว้าแชมป์ถ้วยแรกของปีด้วยการเอาชนะลิเวอร์พูล 3–2 (หลังต่อเวลาพิเศษ) ที่คาร์ดิฟฟ์ ในการแข่งขันลีกคัพ โดยในช่วงท้ายของการแข่งขันมูรีนโยถูกนำตัวออกจากข้างสนาม หลังจากวางปลายนิ้วชี้บนริมฝีปากและหันไปในทิศทางของแฟนคลับของลิเวอร์พูลในลักษณะที่เป็นการตอบสนองต่อการเยาะเย้ยที่แฟนคลับของลิเวอร์พูลแสดงออกมาในช่วงที่ลิเวอร์พูลกำลังเป็นฝ่ายนำ (ก่อนที่จะมีการยิงประตูตีเสมอ)

เชลซีพบกับบาร์เซโลนาในการแข่งขันแชมเปียนส์ลีกรอบ 16 ทีมสุดท้าย โดยในนัดแรกเป็นการแข่งขันที่เต็มไปด้วยข้อพิพาทและทีมสิงโตน้ำเงินครามแพ้ในฐานะทีมเยือนด้วยคะแนน 2-1 แต่ในนัดต่อมาทีมสามารถทำแต้มรวมได้ 4-2 เป็นผลให้สามารถผ่านเข้ารอบต่อไป มูรีนโยพลาดโอกาสในการชนะแชมเปียนส์ลีกสองปีซ้อนเมื่อเชลซีพ่ายแพ้ต่อลิเวอร์พูลในรอบรองชนะเลิศด้วยคะแนน 1-0 และสร้างความเกรียวกราวด้วยประโยค "ประตูผี" (ghost goal) และ "ประตูที่มาจากดวงจันทร์" (It was a goal that came from the moon) ซึ่งเป็นคะแนนเดียวของการแข่งขันโดยผู้ตัดสินยกให้กับการยิงของลุยส์ การ์ซีอา ซานซ์

มูรีนโยสามารถทำให้เชลซีได้แชมป์พรีเมียร์ลีกเป็นครั้งที่สองในรอบ 50 ปี ในขณะเดียวกันก็ได้สร้างสถิติใหม่ ๆ ในการแข่งฟุตบอลของอังกฤษ เช่น การทำคะแนนได้สูงสุดในพรีเมียร์ลีก (95) และการถูกทำประตูได้น้อยที่สุด (15)

ฤดูกาล 2005–06

เชลซีเริ่มฤดูกาลได้ดีโดยสามารถเอาชนะอาร์เซนอลด้วยคะแนน 2-1 ในการแข่งขันเอฟเอคอมมิวนิตีชีลด์ และไปถึงจุดสูงสุดของตารางพรีเมียร์ลีกตั้งแต่สุดสัปดาห์แรกของฤดูกาลแข่งขัน เชลซีชนะคู่แข่งสำคัญแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดด้วยคะแนน 3-0 เพื่อคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกเป็นครั้งที่สองติดต่อกัน และ ถือเป็นชนะเลิศการแข่งขันภายในประเทศครั้งที่ 4 ของมูรีนโย ในงานรับเหรียญแชมป์พรีเมียร์ลีกมูรีนโยโยนเหรียญและเสื้อคลุมเข้าไปในฝูงชน หลังจากนั้นเขาก็ได้รับเหรียญรางวัลอีกอันภายในไม่กี่นาทีซึ่งเขาก็โยนเข้าไปในฝูงชนอีกครั้ง

ผลงานในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกในปีนี้ทำได้เพียงผ่านเข้ารอบแปดทีมสุดท้าย โดยแพ้บาร์เซโลนาตกรอบ พร้อม ๆ กับสร้างความเกรียวกราวด้วยการวิจารณ์ผู้ตัดสินจนถูกปรับเงิน และผู้ตัดสินได้ตัดสินใจแขวนนกหวีดในเวลาต่อมา

ฤดูกาล 2006–07

ฤดูกาล 2006–07 เป็นช่วงเวลาที่สื่อประโคมข่าวว่าจะมูรีนโยอาจจะออกจากสโมสรหลังปิดฤดูกาลแข่งขัน เนื่องจากมีการกล่าวหาว่าเขามีความสัมพันธ์ไม่ดีกับเจ้าของสโมสรโรมัน อับราโมวิช ร่วมถึงมีการแย่งชิงอำนาจกับผู้อำนวยการด้านกีฬา (sporting director) Frank Arnesen และที่ปรึกษาของอับราโมวิช Piet de Visser ในเวลาต่อมามูรีนโยได้เคลียร์ข้อสงสัยเกี่ยวกับอนาคตของเขาที่สแตมฟอร์ดบริดจ์ โดยระบุว่ามีเพียงแค่สองทางที่จะทำให้เขาต้องจากเชลซีคือ (1) ถ้าเชลซีไม่เสนอสัญญาฉบับใหม่ให้ในเดึนมิถุนายน 2010 และ (2) ถ้าเชลซีไล่เขาออกจากตำแหน่ง[34]

การเซ็นสัญญาซื้อตัวศูนย์หน้าชาวยูเครน อันดรีย์ เชฟเชนโค ในช่วงฤดูร้อนของปี 2006 โดยมีค่าใช้จ่ายซึ่งเป็นสถิติใหม่ของสโมสรน่าจะเป็นอีกหนึ่งจุดที่ทำให้เกิดการโต้แย้งระหว่างมูรีนโย และ อับราโมวิช ในขณะที่เกิดการเซ็นสัญญาซื้อขาย เชฟเชนโคถือเป็นหนึ่งในกองหน้าที่ได้รับการยกย่องมากที่สุดในยุโรปโดยเวลานั้นเขาอยู่กับมิลานซึ่งเป็นสโมสรที่เขาชนะแชมเปียนส์ลีก และได้รางวัลนักเตะเช่น สคูเดตโต และ บาลงดอร์ เชลซีเคยพยายามเซ็นสัญญากับเชฟเชนโคในช่วงสองปีก่อนหน้านี้แต่มิลานปฏิเสธที่จะรับข้อเสนอของอับราโมวิช อย่างไรก็ดีฤดูกาลแรกของเชฟเชนโคที่เชลซีถูกมอง (โดยแฟนคลับ) ว่าเขาเป็นความน่าผิดหวังอย่างใหญ่หลวงเนื่องจากทำได้เพียง 4 ประตูจากการแข่งขันทั้งหมด 14 นัด

มูรีนโยขณะทำงานให้กับเชลซีในปี 2007

นอกจากนั้นในปีนี้เป็นปีที่ ดีดีเย ดรอกบา คู่ขาของเชฟเชนโคสามารถยิงประตูได้มากที่สุดในอาชีพนักฟุตบอลจึงเป็นเหตุให้เชฟเชนโคตกจากตำแหน่งกองหน้าตัวจริงในท้ายฤดูกาล ในการแข่งขันแชมเปียนส์ลีกรอบรองชนะเลิศกับลิเวอร์พูลที่แอนฟิลด์ มีการสังเกตว่าเชฟเชนโคไม่ได้แม้แต่จะมีชื่ออยู่บนม้านั่งข้างสนาม การเรียกร้องของอับราโมวิชที่จะให้มูรีนโยส่งนักเตะชาวยูเครนผู้นี้ลงเล่นถูกมองว่าเป็นอีกหนึ่งจุดที่ส่งเสริมความขัดแย้งระหว่างชายสองให้มากยิ่งขึ้น นักเตะคนใหม่ที่ได้รับความสนใจสูงนอกเหนือจากเชฟเชนโคคือ กัปตันชาวเยอรมันมิชาเอล บัลลัค ซึ่งเป็นผู้เล่นที่ไม่ติดสัญญากับทีมอื่น (free agent) จากบาเยิร์นมิวนิก โดยถูกนำมาเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับกองกลาง ในขณะที่กองหน้าชาวไอซ์แลนด์ เอย์ดืร์ กวึดยอนแซน ถูกขายออกเพื่อไปอยู่กับบาร์เซโลนา

แม้จะมีปัญหามากมายเกิดขึ้น เชลซีก็สามารถคว้าแชมป์การแข่งขันลีกคัพได้อีกครั้งโดยเอาชนะอาร์เซนอลที่มิลเลนเนียมสเตเดียม อย่างไรก็ตามความเป็นไปได้ที่จะคว้าถ้วยรางวัลถึง 4 ถ้วยก็ได้หมดไปเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม ค.ศ. 2007 เมื่อลิเวอร์พูลกำจัดเชลซีออกจากการแข่งขันแชมเปียนส์ลีกจากการดวลจุดโทษที่แอนฟิลด์หลังจากผลคะแนนรวมเสมอที่ 1-1 หลังจากนั้นไม่นานเชลซียังไปทำได้เพียงเสมอ 1-1 กับอาร์เซนอลที่เอมิเรตส์สเตเดียม จึงทำให้แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกของปีนี้ไปได้ โดยปีนี้ถือเป็นฤดูกาลแรกของมูรีนโยที่ไม่สามารถคว้าแชมป์ลีกของประเทศหลังจากทำได้ติดต่อกันเป็นเวลา 5 ปี มูรีนโยนำเชลซีชนะแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดด้วยคะแนน 1-0 ในรอบชิงชนะเลิศเอฟเอคัพ ซึ่งถือเป็นชัยชนะที่เกิดขึ้นครั้งแรกในสนามกีฬาเวมบลีย์ที่สร้างขึ้นใหม่ และเป็นการคว้าแชมป์ครั้งแรกของมูรีนโยในการแข่งขันเอฟเอคัพ ดังนั้นจึงหมายความว่าเขารับถ้วยรางวัลการแข่งขันภายในประเทศที่ผู้จัดการทีมฟุตบอลในพรีเมียร์ลีกสามารถครอบครองได้มาทั้งหมดแล้ว

ความขัดแย้งระหว่างมูรีนโย และ อับราโมวิชยังคงดำเนินต่อไปเมื่ออัฟราม แกรนท์ ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้อำนวยการฟุตบอล (director of football) แม้จะได้รับการคัดค้านจากมูรีนโย นอกจากนั้นตำแหน่งของแกรนท์ยังได้รับการสนับสนุนเพิ่มเติมโดยได้ที่นั่งกรรมการบริหารสโมสรอีกด้วย การโอนย้ายในปีต้นปี 2007-08 รวมถึงการออกของอาร์เยิน โรบเบินเพื่อไปอยู่กับเรอัลมาดริด และการเข้ามาของกองกลางสัญชาติฝรั่งเศส ฟลอร็อง มาลูดาจากโอลิมปิกลียง

ฤดูกาล 2007–08

นัดแรกของการแข่งขันพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2007–08 เชลซีสามารถเอาชนะเบอร์มิงแฮมซิตีด้วยสกอร์ 3-2 และเป็นการสร้างสถิติไม่แพ้ใครในบ้าน 64 ครั้งติดต่อกันในการแข่งขันพรีเมียร์ลีก แม้จะสามารถเอาชนะสถิติไม่แพ้ใครในบ้านที่ลิเวอร์พูลเคยทำไว้ระหว่างปีค.ศ. 1978 - 1981[35] ได้ก็ตามการเริ่มต้นของเชลซีในฤดูกาล 2007–08 ประสบความสำเร็จน้อยกว่าปีก่อน ๆ โดยทีมแพ้ที่บ้านของแอสตันวิลลา ตามด้วยการทำประตูไม่ได้และจบด้วยการเสมอ 0-0 กับแบล็กเบิร์นโรเวอส์ในบ้านตัวเอง การแข่งขันแชมเปียนส์ลีกนัดแรกในปีนี้เชลซีทำได้แค่เสมอ 1-1 กับ Rosenborg ในบ้านของตัวเองต่อหน้าอัฒจันทร์ที่ว่างเกือบครึ่ง

มูรีนโยออกจากเชลซีอย่างกะทันหันเมื่อวันที่ 20 กันยายน ค.ศ. 2007 ด้วย "ความยินยอมร่วมกัน" แม้ว่าจะมีข้อขัดแย้งมากมายกับเจ้าของสโมสรอับราโมวิช[5] โดยกรรมการบริหารของเชลซีได้จัดประชุมฉุกเฉินและมีมติว่าจำต้องแยกทางกับเขา มูรีนโยออกจากเชลซีในฐานะผู้จัดการที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของเชลซีโดยทำให้สโมสรได้รับถ้วยรางวัลถึง 6 รางวัลภายในเวลาสามปี และ ไม่เคยแพ้การแข่งขันพรีเมียร์ลีกในบ้าน อัฟราม แกรนท์ รับตำแหน่งผู้จัดการต่อจากมูรีนโยแต่ไม่สามารถคว้าถ้วยรางวัลใด ๆ ได้เลยในปีนี้และถูกปลดเมื่อสิ้นสุดฤดูกาล อย่างไรก็ดีแกรนท์สามารถพาทีมเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก (ซึ่งมูรีนโยไม่สามารถทำได้แม้แต่ครั้งเดียวขณะอยู่กับเชลซีเป็นเวลา 3 ปี) แต่แพ้ด้วยการดวลลูกจุดโทษชี้ขาดกับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด เนื่องจากมีคะแนนเสมอกัน 1-1 หลังจาก 120 นาทีของการแข่งขัน เขาพาทีมเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศลีกคัพ (คาร์ลิ่ง คัพ) และ ไม่เคยแพ้ใครในบ้านตลอดการทำงาน นอกจากนั้นเขายังทำให้เชลซีเป็นรองแชมป์พรีเมียร์ลีกโดยมีคะแนนห่างจากแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ที่ได้แชมป์เพียง 2 คะแนน

อินเตอร์มิลาน

มูรีนโยได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการของอินเตอร์มิลานในวันที่ 2 มิถุนายน ค.ศ. 2008 โดยได้สัญญาสามปีต่อจากโรแบร์โต มันชีนี และได้พาทีมงานเบื้องหลังที่ทำงานให้กับเขาที่เชลซีและโปร์ตูมาด้วยเกือบทั้งหมด[36][37] เขาแต่งตั้งจูเซปเป บาเรซี อดีตผู้เล่นของอินเตอร์มิลาน และ อดีตหัวหน้าโค้ชของทีมเยาวชนให้เป็นผู้ช่วยจัดการ[38] มูรีนโยใช้ภาษาอิตาลีล้วนระหว่างการแถลงข่าวครั้งแรกในฐานะบอสของอินเตอร์มิลานโดยอ้างว่าใช้เวลาเรียนรู้ภาษา "ภายในสามสัปดาห์"[39] มูรีนโยระบุว่าเขาตั้งใจจะเซ็นสัญญานักเตะสำคัญ ๆ เพียงไม่กี่คนในช่วงฤดูร้อน[40] ในตอนท้ายของช่วงเวลาซื้อขายนักเตะเขาได้ผู้เล่นใหม่มาสามคน ผู้เล่นตำแหน่งปีกชาวบราซิล มังซีนี (13 ล้านยูโร)[41][42] ผู้เล่นกองกลางชาวกานา Sulley Muntari (14 ล้านยูโร)[43] และ ผู้เล่นตำแหน่งปีกชาวโปรตุเกส Ricardo Quaresma โดยจ่ายเป็นตัวผู้เล่นตำแหน่งกองกลางชาวโปรตุเกส Pelé และเงิน 18.6 ล้านยูโร ให้กับโปร์ตู[44][45]

ฤดูกาล 2008–09

มูรีนโยในปี 2008

ในฤดูกาลแรกของการเป็นหัวหน้าโค้ชให้กับอินเตอร์มิลาน มูรีนโยสามารถคว้าชัยในศึกอิตาเลียนซูเปอร์คัพ โดยเอาชนะโรมาจากการยิงจุดโทษ[46] และจบฤดูกาลในตำแหน่งสูงสุดของเซเรียอา อย่างไรก็ตามอินเตอร์มิลานถูกกำจัดในรอบแรกของการแข่งขันแบบแพ้คัดออกในศึกยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก โดยแพ้ให้กับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดด้วยคะแนนรวม 2-0 นอกจากนั้นเขายังล้มเหลวที่จะคว้าชัยชนะในการแข่งขันอิตาลีคัพ โดยแพ้ให้กับซัมป์โดเรีย ด้วยคะแนนรวม 3-1 ในรอบรองชนะเลิศ[47] ขณะที่ยูฟ่าเริ่มผลักดันสโมสรใหญ่ ๆ ในลีกชั้นนำให้ใช้นักเตะในประเทศให้มากขึ้น มูรินโยก็ได้นำ มารีโอ บาโลเตลลี นักเตะเยาชนกองหน้าอายุ 18 ปีมาเล่นอย่างสม่ำเสมอ และ ยังยกชั้น ดาวิเด้ ซานตอน ผู้เล่นทีมเยาวชนตำแหน่งกองหลังให้เป็นนักเตะทีมใหญ่อย่างถาวร จึงอาจมองได้ว่าเป็นการเพิ่มผู้เล่นสัญชาติอิตาลีให้กับทีมซึ่งก่อนหน้านี้ประกอบด้วยผู้เล่นต่างชาติเสียส่วนใหญ่ นักเตะเยาวชนทั้งสองคนมีส่วนร่วมในฤดูกาลที่อินเตอร์มิลานคว้าสคูเดตโต (ตำแหน่งแชมป์เซเรียอา) และ เล่นเกมให้กับทีมมากครั้งพอที่จะได้รับถ้วยรางวัลอาวุโสเป็นครั้งแรกอีกด้วย

แม้จะพบความสำเร็จกับการแข่งขันภายในประเทศจากการคว้าสคูเดตโตด้วยการทิ้งห่างคู่แข่งถึงสิบคะแนน แฟนคลับจำนวนหนึ่งของอินเตอร์มิลานยังคงมองว่าผลงานฤดูกาลแรกของมูรีนโยในอิตาลีนั้นน่าผิดหวังเนื่องจากสโมสรยังคงล้มเหลวในพัฒนาผลงานที่ โรแบร์โต มันชีนี ทำไว้ก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการแข่งขันแชมเปียนส์ลีกที่อินเตอร์มิลานภายใต้การนำของมูรีนโยทำผลงานไม่ดีนักในรอบแบ่งกลุ่ม ด้วยการแพ้ในบ้านอย่างเหลือเชื่อให้กับปานาซีไนโกส ด้วยคะแนน 1-0 นอกจากนั้นยังทำได้แค่เสมอที่บ้านของสโมสร Anorthosis Famagusta ม้ามืดจากประเทศไซปรัส อินเตอร์มิลานสามรถเขาไปถึงรอบแพ้คัดออกของแชมเปี้ยนลีก แต่ไม่สามารถผ่านเข้าไปสู่รอบรองชนะเลิศโดยถูกเขี่ยให้ตกรอบจากการพ่ายให้กับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด

มูรีนโยมีผลกระทบกับวงการฟุตบอลอิตาลีอย่างรวดเร็วผ่านความสัมพันธ์ที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งระหว่างเขากับสื่อมวลชนของอิตาลี รวมไปถึงความบาดหมางของเขากับโค้ชดัง ๆ ในเซเรียอา อาทิเช่น การ์โล อันเชลอตตี ซึ่งขณะนั้นอยู่กับมิลาน Luciano Spalletti จากโรมา และ เกลาดีโอ รานีเอรี ของยูเวนตุส ระหว่างการแถลงข่าวในเดึนมีนาคม ปี ค.ศ. 2009 มูรีนโยดูถูกโค้ชคู่แข่งสองคนแรกว่าทีมของพวกเขาจะจบฤดูกาลโดยไม่ได้รับถ้วยรางวัลเกียรติยศใด ๆ ทั้งสิ้น และยังกล่าวหาผู้สื่อข่าวอิตาลีว่าทำตัวเป็น "โสเภณีทางปัญญา" (intellectual prostitution) ให้กับคนทั้งสอง[48] การพูดจาโวยวายต่อหน้าสื่อมวลชนนี้แพร่หลายไปอย่างรวดเร็วในอิตาลี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับเรื่อง "การไม่ได้รับเกียรติยศ" (zero titles) ซึ่งมูรีนโยออกเสียงผิดเป็น เซรู ทิทูลี (zeru tituli) (การออกเสียงที่ถูกต้องในภาษาอิตาลี ควรเป็น เซโร ทิโทลี (zero titoli)) ต่อมาคำพูดนี้ได้รับการกล่าวถึงอย่างกว้างขวางโดยนักข่าวฟุตบอลในอิตาลี นอกจากนั้นคำ ๆ นี้ยังกลายเป็นวลีที่ถูกใช้อย่างแพร่หลายโดยแฟนคลับในการเฉลิมฉลองสคูเดตโตครั้งที่ 17 ของอินเตอร์มิลานในช่วงท้ายของฤดูกาล[49][50] แม้กระทั่งไนกี้ก็ยังเลือกใช้คำ ๆ นี้ในการออกตัวเสื้อฉลองแชมป์เซเรียอาของอินเตอร์มิลาน[51] หลังจากการแข่งขันโคปปาอิตาเลียนัดชิงชนะเลิศในเดึนพฤษภาคมสิ้นสุดลงแฟนคลับของลาซีโอ (คู่แข่งข้ามเมืองของโรมา) ซึ่งชนะการแข่งขันก็ยังได้สวมเสื้อทีเขียนว่า "Io campione, tu zero titoli" (ฉันเป็นแชมป์ คุณไม่ได้เกียรติยศใด ๆ)[52] อ้างถึงคำพูด "เซรู ทิทูลี" ของมูรีนโย

วันที่ 16 พฤษภาคม ปี ค.ศ. 2009 ถือเป็นวันที่อินเตอร์มิลานครองตำแหน่งแชมป์เซเรียอาเนื่องจากเอซีมิลานทีมอันดับสองในตารางขณะนั้นพ่ายแพ้ให้กับอูดีเนเซ การแพ้ในครั้งนี้ทำให้ทีมดำ-น้ำเงิน (หรือ Nerazzurri ฉายาของอินเตอร์มิลาน) มีเจ็ดคะแนนเหนือเอซีมิลานคู่แข่งข้ามเมืองโดยเหลือการแข่งขันอีกเพียงแค่สองนัด และในที่สุดอินเตอร์มิลานก็จบฤดูกาลด้วยคะแนนห่างจากเอซีมิลานถึงสิบคะแนน[53]

ฤดูกาล 2009–10

มูรีนโยขณะเป็นผู้จัดการให้กับอินเตอรืมิลาน

มีการรายงานเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม ค.ศ. 2009 ว่ามูรีนโยสนใจที่จะเป็นโค้ชให้กับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดเมื่ออเล็กซ์ เฟอร์กูสันเกษียณ โดยมีการอ้างอิงถึงคำพูดของเขาว่า "ผมคงจะพิจารณาการไปแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด แต่พวกยูไนเต็ดต้องพิจารณาว่าจะให้ผมสืบทอดต่อจากเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสันหรือไม่ ถ้าพวกเขาอยากให้เป็นเช่นนั้นผมจะไปอย่างแน่นอน"[54]

อาเดรียนูออกจากอินเตอร์มิลานในเดึนเมษายน ปี ค.ศ. 2009 และการจากไปของกองหน้าชาวบราซิลก็ติดตามด้วยคู่หูชาวอาร์เจนตินา Julio Cruz และ เอร์นัน เกรสโป รวมไปถึงการโบกมือลาชีวิตค้าแข้งของกองกลางตัวรุกชาวโปรตุเกสผู้เป็นตำนานและมากด้วยประสพการณ์อย่าง ลูอิช ฟีกู ฟีกูกำลังจะออกจากอินเตอร์อยู่แล้วภายใต้การควบคุมของมันชีนี เนื่องจากได้เวลาลงเล่นน้อย แต่ในฤดูกาลสุดท้ายของเขามูรีนโยให้เขาลงเล่นบ่อยครั้ง มูรีนโยเซ็นสัญญาซื้อ ดิเอโก มิลิโต กองหน้าชาวอาร์เจนตินาจากเจนัว ซึ่งขาดอีกเพียงประตูเดียวก็จะได้รับรางวัลผู้ทำประตูสูงสุด รวมถึง ตีอาโก มอตตา และ เวสลีย์ สไนเดอร์ เพื่อหนุนกองกลาง การเซ็นสัญญาที่น่าจะโดดเด่นที่สุดของมูรีนโยในช่วงฤดูร้อนของฤดูกาลที่สองของเขาก็คือ สัญญาเปลี่ยนตัวผุ้เล่นอย่างซลาตัน อีบราฮีมอวิช เพื่อแลกกับกองหน้าชาวแคเมอรูน ซามุแอล เอโต ร่วมกับเงิน 35 ล้านปอนด์ ซึ่งถือเป็นสัญญาซื้อขายผู้เล่นที่แพงเป็นอันดับสองในประวัติศาสตร์การซื้อขายนักเตะ เป็นรองเพียงการย้ายของ คริสเตียโน โรนัลโด จากแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดไปยังเรอัลมาดริดนี้ในช่วงต้นฤดูร้อน เอโตเริ่มงานอย่างสวยหรูกับอินเตอร์มิลานทันทีด้วยการทำประตูสองลูกในการแข่งขันสองนัดแรกของฤดูกาล

ในปี ค.ศ. 2010 พาอินเตอร์มิลานเข้ารอบชิงชนะเลิศในศึกฟุตบอลยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก 2009-2010 กับบาเยิร์นมิวนิกซึ่งมีลูวี ฟัน คาล เจ้านายเก่าเป็นกุนซืออยู่ตอนนั้น และได้คว้าแชมป์ไปในที่สุด รวมทั้งได้ 3 แชมป์ ได้แก่ แชมป์ลีกในประเทศ บอลถ้วยในประเทศ และยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกในฤดูกาลเดียวกัน จากนั้นก็มีข่าวทันทีว่ามูรีนโยจะไปคุมยอดทีมจากประเทศสเปนนั่นคือเรอัลมาดริด

เรอัลมาดริด

ในปี ค.ศ. 2010 เขาย้ายมาเป็นผู้จัดการทีมเรอัลมาดริดและต่อมาเขาก็ได้แชมป์โกปาเดลเรย์ ด้วยการชนะบาร์เซโลนาในช่วงต่อเวลาพิเศษไป 1–0 ต่อมาในปี ค.ศ. 2012 หรือในช่วงฤดูกาล 2011–12 ในลาลิกา มูรีนโยนำทีมเรอัลมาดริด คว้าแชมป์ลาลิกาได้สำเร็จโดยมีคะแนนทั้งหมด 100 คะแนน ซึ่งนำห่างบาร์เซโลนา แชมป์เก่าไปถึง 9 แต้มในช่วงต้นฤดูกาลสุดท้ายของเขากับเรอัลมาดริด มูรีนโยนำทีมโค่นบาร์เซโลนาในศึกสแปนิชซูเปอร์คัพ โดยเป็นการเตะ 2 นัด เหย้า-เยือน นั่นเท่ากับว่า มูรีนโยได้คว้าทุกแชมป์ในสเปนภายในระยะเพียง 3 ปี และทั้งหมดคือการโค่นบาร์เซโลนา ไม่ว่าจะเป็นลาลิกา โกปาเดลเรย์ และสแปนิชซูเปอร์คัพ และเป็นการบ่งบอกว่านับตั้งแต่เริ่มทำงานกับสโมสรโปร์ตู ไม่มีปีไหนที่มูรีนโยมือเปล่า และจากไปอย่างยิ่งใหญ่สู่สโมสรเชลซี

เชลซี

เป็นการกลับมาบ้านเก่าอีกครั้งของมูรีนโย โดยเซ็นสัญญาระยะเวลา 4 ปี พร้อมประเดิมนักเตะคนแรก อันเดร เชือร์เลอ ในงานแถลงข่าว นักข่าวถามมูรีนโยว่ารู้สึกอย่างไรที่อันเดรส อีเนียสตา กล่าวว่าเขาทำให้วงการฟุตบอลในสเปนเสื่อมเสีย มูรีนโยตอบว่า เรอัลมาดริดคว้าแชมป์ลาลิกาเหนือบาร์เซโลนาด้วยการทำแต้มสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ตั้งแต่กำเนิดวงการฟุตบอลสเปนขึ้นมาร้อยกว่าปี ทำประตู 121 ประตู สูงที่สุดในประวัติศาสตร์อีกเช่นกัน เรอัลมาดริดล้มบาร์เซโลนาในโกปาเดลเรย์ เรอัลมาดริดล้มบาร์เซโลนาในกัมนอว์ ถิ่นของพวกเขา เรอัลมาดริดล้มบาร์เซโลนาในสแปนิชซูเปอร์คัพ ดังนั้นพวกเขาจึงรู้สึกเจ็บสุด ๆ (They hurted) มูรีนโยบอกว่าการคุมทีมระดับเชลซีโดยทำได้เพียงคว้าแชมป์ยูฟ่ายูโรปาลีก ถือเป็นสิ่งที่น่าผิดหวัง เพราะถ้วยนี้ไม่เคยอยู่ในสายตาของเขา เป็นการเหน็บแนมราฟาเอล เบนีเตซ ตามสไตล์ของเขา ปี 2015 เขาพาเชลซี คว้าแชมป์ลีกคัพ และพรีเมียร์ลีก

แต่ผลงานของเชลซี ในฤดูกาล 2015–16 ไม่ดีเสียเลย แม้จะผ่านเข้ารอบ 16 ทีมในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก เป็นอันดับหนึ่งของกลุ่มก็ตาม แต่ผลงานในพรีเมียร์ลีกเมื่อผ่านไป 16 นัด เชลซีแพ้ไปแล้วถึง 9 นัด โดยอยู่ในอันดับที่ 16 ของตารางคะแนน มีคะแนนเหนือทีมที่อยู่ในอันดับ 17 ซึ่งเป็นกลุ่มตกชั้น คือ สวอนซีซิตี เพียงคะแนนเดียว ทำให้ในปลายปี 2015 ทางผู้บริหารเชลซีจึงได้ตัดสินใจปลดมูรีนโยออกจากตำแหน่ง [55] ทั้งนี้มีการเปิดเผยถึงสาเหตุของการปลดครั้งนี้ นอกจากผลงานไม่ดีแล้ว มูรีนโยยังมีเหตุทะเลาะกับผู้เล่นหลายคนในทีมอีกด้วย [56]

แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด

มูรีนโย เข้ามาในฐานะผู้จัดการทีมแทนลูวี ฟัน คาลหลังจบฤดูกาล 2015–16 และเสริมทีมด้วยนักเตะชื่อดังมากมาย ทั้งซลาตัน อิบราฮิโมวิช,พอล ป็อกบา ในฤดูกาล 2016–17 มูรีนโยทำผลงานได้ไม่ค่อยดี และจบอันดับที่6ในพรีเมียร์ลีก แต่มูรีนโยพาแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดเป็นแชมป์ยูฟ่ายูโรปาลีกและคาราบาวคัพ ทำให้ได้โอกาสไปแข่งยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกในฐานะแชมป์ยูฟ่ายูโรปาลีก และในฤดูกาลต่อมา(ฤดูกาล 2017–18) มูรีนโย ไม่สามารถทำทีมได้แชมป์ใดเลย ขณะที่ผลงานในพรีเมียร์ลีกสามารถจบที่อันดับที่2 ส่วนในฤดูกาลสุดท้ายกับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด(ฤดูกาล 2018–19) มูรีนโย ทำทีมอยู่ในอันดับกลางของตารางในพรีเมียร์ลีก ถึงแม้จะสามารถทำให้ทีมผ่านเข้าไปแข่งขันยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2018–19 ในรอบ 16 ทีมสุดท้ายได้ก็ตาม แต่มูรีนโย ก็ถูกไล่ออกหลังจากการแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีกกับลิเวอร์พูล เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2018ในขณะนั้นแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด อยู่อันดับที่6 ของตาราง โดยผลการแข่งขันนัดนั้น แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด เป็นฝ่ายแพ้ไป 1-3

แหล่งที่มา

WikiPedia: โชเซ มูรีนโย http://www.fcbarcelona.cat/web/catala/club/histori... http://www.chelseafc.com/page/NewsHomePage/0,,1026... http://espnfc.com/news/story/_/id/982842/pep-guard... http://www.euronews.com/2015/01/15/giants-of-portu... http://findarticles.com/p/articles/mi_qn4161/is_/a... http://www.football365.com/gazzetta/0,17033,9404_5... http://espn.go.com/sportsnation/post/_/id/9539744/... http://www.goal.com/en-gb/news/3277/la-liga/2011/0... http://www.iht.com/articles/ap/2008/08/24/sports/E... http://www.newstatesman.com/200512190026